เครื่องมือวัดกระแสไฟฟ้า
เครื่องมือที่ใช้วัดกระแสไฟฟ้า
เรียกว่า แอมมิเตอร์
( Ammeter ) มีหน่วยการวัด
คือ แอมแปร์ ( Ampere ) ใช้ตัวย่อแทน ว่า " A "
สัญลักษณ์ของแอมมิเตอร์ คือ
ภาพแอมมิเตอร์
ภาพ การต่อแอมมิเตอร์ในวงจรไฟฟ้า
การอ่านค่ากระแสไฟฟ้า
ความต่างศักย์ไฟฟ้า หมายถึง ความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุด ในวงจรไฟฟ้า ซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าพาพลังงานไฟฟ้าไหลจากจุดที่มีระดับพลังงานไฟฟ้าสูง ( ศักย์ไฟฟ้าสูง ) ไปยังจุดที่มีระดับพลังงานไฟฟ้าต่ำกว่า ( ศักย์ไฟฟ้าต่ำ ) และจะหยุดไหลเมื่อศักย์ไฟฟ้าทั้งสองจุดเท่ากัน
ความต่างศักย์ไฟฟ้าเปรียบได้กับการไหลของน้ำ โดยน้ำจะไหลจากจุดที่มีระดับน้ำสูงไปยังจุดที่มีระดับน้ำต่ำ จะหยุดไหลเมื่อระดับน้ำทั้งสองจุดเท่ากัน
หรือ ความต่างศักย์ไฟฟ้าเปรียบได้กับการเอียงปลายท่อน้ำ ถ้าท่อน้ำวางตัวอยู่เกือบเท่ากับแนวระดับน้ำน้ำจะไหลได้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าปลายท่อน้ำอยู่ต่ำกว่าส่วนต้นของท่อน้ำ อัตราการไหลของน้ำจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความแตกต่างของระดับความสูงเป็นสาเหตุทำให้น้ำไหลได้มากขึ้น การเพิ่มความต่างศักย์ไฟฟ้าก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้มากขึ้น ดังภาพ
สัญลักษณ์ของโวลต์มิเตอร์
การอ่านค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า
ภาพ โวลต์มิเตอร์และการอ่านในวงจรไฟฟ้า
สัญลักษณ์ความต้านทานไฟฟ้า
เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในลวดตัวนำไฟฟ้าก็จะชนกับอะตอมของลวดตัวนำไฟฟ้า อะตอมของตัวนำไฟฟ้าจะสร้างความต้านทานไฟฟ้าขึ้นทันที การไหลของกระแสไฟฟ้าและความต้านทานไฟฟ้าในลวดตัวนำไฟฟ้าเปรียบเทียบได้กับการไหลของน้ำในท่อ ดังภาพ
สารหรือวัตถุที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้ เรียกสารนั้นว่า ตัวนำไฟฟ้า
ตัวนำไฟฟ้า ( Conductor )
ฉนวนไฟฟ้า ( Insulator )
ฉนวนไฟฟ้า หมายถึง สารหรือวัตถุที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้ ได้แก่ 1.น้ำบริสุทธิ์ 2. PVC 3. ยาง 4. ไมก้า 5. สุญญากาศ 6. กระเบื้องเคลือบ 7. ยาง 8. แก้ว 9. ไม้ 10. พลาสติก
ลวดตัวนำไฟฟ้า ส่วนใหญ่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เช่น สายไฟฟ้า ลวดความร้อนหรือ แผ่นความร้อนของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน เช่น เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า หรือเป็นส่วนประกอบภายในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างเช่น ไส้หลอดไฟฟ้าทุกชนิด แบลลัสต์ เป็นต้น เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อเปิดใช้งาน จะสร้างความต้านทานไฟฟ้าขึ้นทันที ดังนั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้นก็คือ ตัวต้านทานไฟฟ้า หนึ่ง ๆ นั่นเอง
ภาพแอมมิเตอร์
เมื่อต้องการวัดกระแสไฟฟ้า
ทำได้โดยการนำแอมมิเตอร์ต่อแทรกลงในสาย หรือต่อ แบบอนุกรม ที่ต้องการทราบค่ากระแสไฟฟ้า ณ
จุดนั้น ๆ ในวงจร
ภาพ การต่อแอมมิเตอร์ในวงจรไฟฟ้า
การอ่านค่ากระแสไฟฟ้า
ภาพหน้าปัดแอมมิเตอร์
การอ่านหน้าปัดของแอมมิเตอร์
ให้นักเรียนต่อหลอดไฟฟ้ากับถ่านไฟฉาย 1 ก้อน และแอมมิเตอร์
นักเรียนนำสายขั้วลบ ( สายสีดำ )
ต่อเข้ากับจุด P ของแอมมิเตอร์ และนำสายขั้วบวก ( สายสีแดง )
ต่อเข้ากับจุด A ของแอมมิเตอร์
ซึ่งมีตัวเลขกำกับว่า 2 mA
แสดงว่า หน้าปัดเต็มของแอมมิเตอร์จะอ่านได้สูงสุด 2 mA และถ้าเข็มของแอมมิเตอร์เบนไปครึ่งหนึ่งของหน้าปัด
จะอ่านค่ากระแสไฟฟ้าได้ 1 mA
คุณสมบัติของแอมมิเตอร์ที่ดี
คุณสมบัติของแอมมิเตอร์ที่ดี
1. ต้องมีความต้านทานไฟฟ้าต่ำ เพราะต้องการให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านแอมมิเตอร์ให้
มากที่สุด
2. มีความแม่นยำสูง เมื่อนำแอมมิเตอร์ไปต่ออนุกรมในวงจรแล้ว จะไม่ทำให้
ความต้านทานไฟฟ้ารวมของวงจรเปลี่ยนแปลง ทำให้กระแสไฟฟ้าที่วัดได้มีความแม่นยำสูง
หรือมีความผิดพลาดจากการวัดน้อย
3. มีความไว (
Sensitivity ) สูง แอมมิเตอร์ที่ดีจะสามารถตรวจวัดค่ากระแสไฟฟ้าน้อยๆได้ กล่าวคือ แม้วงจรจะมีกระแสไฟฟ้าไหลเพียงเล็กน้อย
แอมมิเตอร์ก็สามารถตรวจวัดค่าได้
ความต่างศักย์ไฟฟ้า
(
Electrical Potential )
ความต่างศักย์ไฟฟ้า หมายถึง ความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุด ในวงจรไฟฟ้า ซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าพาพลังงานไฟฟ้าไหลจากจุดที่มีระดับพลังงานไฟฟ้าสูง ( ศักย์ไฟฟ้าสูง ) ไปยังจุดที่มีระดับพลังงานไฟฟ้าต่ำกว่า ( ศักย์ไฟฟ้าต่ำ ) และจะหยุดไหลเมื่อศักย์ไฟฟ้าทั้งสองจุดเท่ากัน
เมื่อเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
กระแสไฟฟ้าจะเป็นตัวนำพลังงานไฟฟ้ามาส่งให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า
เพื่อให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้นำพลังงานไฟฟ้าไปเปลี่ยนรูปต่อไป
ปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่จุดใด ๆ เรียกว่า ศักย์ไฟฟ้า
ศักย์ไฟฟ้า
( Electric
Potential ) หมายถึง ระดับของพลังงานไฟฟ้า
ศักย์ไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ 1) ศักย์ไฟฟ้าสูง หมายถึง
จุดหรือบริเวณที่มีพลังงานไฟฟ้าสูง
2) ศักย์ไฟฟ้าต่ำ หมายถึง
จุดหรือบริเวณที่ไม่มีพลังงานไฟฟ้า ( พลังงานไฟฟ้า = 0 )
ความแตกต่างของระดับพลังงานไฟฟ้าระหว่าง
2 จุด เรียกว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้า
ความต่างศักย์ไฟฟ้าเปรียบได้กับการไหลของน้ำ โดยน้ำจะไหลจากจุดที่มีระดับน้ำสูงไปยังจุดที่มีระดับน้ำต่ำ จะหยุดไหลเมื่อระดับน้ำทั้งสองจุดเท่ากัน
หรือ ความต่างศักย์ไฟฟ้าเปรียบได้กับการเอียงปลายท่อน้ำ ถ้าท่อน้ำวางตัวอยู่เกือบเท่ากับแนวระดับน้ำน้ำจะไหลได้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าปลายท่อน้ำอยู่ต่ำกว่าส่วนต้นของท่อน้ำ อัตราการไหลของน้ำจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความแตกต่างของระดับความสูงเป็นสาเหตุทำให้น้ำไหลได้มากขึ้น การเพิ่มความต่างศักย์ไฟฟ้าก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้มากขึ้น ดังภาพ
ภาพ ความต่างศักย์ไฟฟ้าเปรียบได้กับการเอียงปลายท่อน้ำ
เครื่องมือวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า
เครื่องมือที่ใช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า
เรียกว่า โวลต์มิเตอร์ ( Voltmeter
)
มีหน่วยการวัด
คือ โวลต์ ( Volt ) ใช้ตัวย่อแทนความต่างศักย์ไฟฟ้าว่า " V "
สัญลักษณ์ของโวลต์มิเตอร์
เมื่อต้องการวัดความต่างศักย์ระหว่างจุด
2 จุดใดๆ ในวงจรไฟฟ้า สามารถทำได้โดยการนำโวลต์มิเตอร์ต่อคร่อมระหว่าง
2 จุดนั้น เรียกการต่อลักษณะนี้ว่า การต่อแบบขนาน ดังภาพ
ภาพ การต่อโวลต์มิเตอร์ในวงจรไฟฟ้า
การอ่านค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า
ภาพ โวลต์มิเตอร์และการอ่านในวงจรไฟฟ้า
การอ่านหน้าปัดของโวลต์มิเตอร์
โดยนักเรียนนำสายขั้วลบ ( สายสีดำ ) ต่อเข้ากับจุด P ของโวลต์มิเตอร์ และนำสายขั้วบวก ( สายสีแดง )
ต่อเข้ากับจุด A ของโวลต์มิเตอร์ ซึ่งมีตัวเลขกำกับว่า 3 V แสดงว่า
หน้าปัดเต็มของโวลต์มิเตอร์จะอ่านได้สูงสุด 3 V ถ้าเข็มของเครื่องวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าเบนไปครึ่งหนึ่งของหน้าปัด
ก็อ่านค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าได้
1.5
V
การที่กระแสไฟฟ้าไหล เนื่องมาจากความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นที่ขั้วของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า
และความต่างศักย์ไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าแต่ละชนิดก็จะไม่เท่ากัน เช่น ถ่านไฟฉายมีความต่างศักย์ไฟฟ้าประมาณ 1.5 โวลต์ แบตเตอรี่รถยนต์มีความต่างศักย์ไฟฟ้าประมาณ
12 โวลต์ ส่วนสายไฟฟ้าภายในบ้านมีความต่างศักย์ไฟฟ้าประมาณ 220
โวลต์ ทั้งนี้ ถ้าความต่างศักย์ไฟฟ้ามีค่ามากขึ้น
ระดับพลังงานไฟฟ้าก็จะมากขึ้นด้วย ซึ่งจะมีผลและเกิดอันตรายได้ง่าย
คุณสมบัติของโวลต์มิเตอร์ที่ดี
1. ต้องมีความต้านทานไฟฟ้าสูงที่สุด
เพราะไม่ต้องการให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านโวลต์มิเตอร์
2. มีความแม่นยำสูง ซึ่งเกิดจากการนำตัวความต้านทานที่มีค่าสูงมากๆ มาต่อแบบอนุกรมเพื่อป้องกันไม่ให้มีกระแสแยกไหลผ่านโวลต์มิเตอร์
ทำให้กระแสไหลผ่านจุดที่ต้องการวัดทั้งหมด ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้ จึงมีความผิดพลาดน้อย
3. มีความไวสูง แม้ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้ามีค่าต่ำมากก็สามารถตรวจวัดได้
การที่กระแสไฟฟ้าไหล เนื่องมาจากความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นที่ขั้วของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า และ ความต่างศักย์ไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าแต่ละชนิดก็จะไม่เท่ากัน
เช่น ถ่านไฟฉายมีความต่างศักย์ประมาณ 1.5 โวลต์ แบตเตอรี่รถยนต์มีความต่างศักย์ไฟฟ้าประมาณ
12 โวลต์ ส่วนสายไฟฟ้าภายในบ้านมีความต่างศักย์ไฟฟ้าประมาณ 220
โวลต์ ทั้งนี้ ถ้าความต่างศักย์ไฟฟ้ามี ค่ามากขึ้น ระดับพลังงานไฟฟ้าก็จะมากขึ้นด้วย ซึ่งจะมีผลและเกิดอันตรายได้ง่าย
ความต้านทานไฟฟ้า( Resistance )
นักเรียนจะพบว่า
กระแสไฟฟ้าจะไหลได้เมื่อจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้ามีศักย์ไฟฟ้าแตกต่างกันกระแสไฟฟ้าจึงมีควาสัมพันธ์กับความต่างศักย์ไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในสายไฟฟ้าหรือลวดตัวนำไฟฟ้า ตัวนำไฟฟ้าสร้างความต้านทานไฟฟ้าขึ้นทันที ความต้านทานไฟฟ้าจึงเป็นอุปสรรคในการไหลของกระแสไฟฟ้า
ความต้านทานไฟฟ้า ( Resistance ) หมายถึง สถานะที่เกิดขึ้นบนตัวนำไฟฟ้า เพื่อต่อต้านหรือขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า
สัญลักษณ์ความต้านทานไฟฟ้า
เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในลวดตัวนำไฟฟ้าก็จะชนกับอะตอมของลวดตัวนำไฟฟ้า อะตอมของตัวนำไฟฟ้าจะสร้างความต้านทานไฟฟ้าขึ้นทันที การไหลของกระแสไฟฟ้าและความต้านทานไฟฟ้าในลวดตัวนำไฟฟ้าเปรียบเทียบได้กับการไหลของน้ำในท่อ ดังภาพ
ภาพเปรียบเทียบการไหลของน้ำในท่อและการไหลของกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำไฟฟ้า
สารหรือวัตถุที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้ เรียกสารนั้นว่า ตัวนำไฟฟ้า
ตัวนำไฟฟ้า ( Conductor )
ตัวนำไฟฟ้า
(
Conductor ) คือ
สารหรือวัตถุที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้ ได้แก่
โลหะทุกชนิด จึงนำเอาโลหะเหล่านั้นมาผลิตเป็นเส้นลวด
เรียกว่า ลวดตัวนำไฟฟ้า
โลหะแต่ละชนิดจะยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้มากหรือน้อยไม่เท่ากัน
โลหะที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้มาก เรียงตามลำดับจนถึงโลหะที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้น้อย
ได้แก่ 1. เงิน 2. ทองแดง 3. ทองคำ 4. อลูมิเนียม 5. ทังสเตน 6. สังกะสี 7. ทองเหลือง 8. เหล็ก
9. พลาตินั่ม 10. คาร์บอน
และในทำนองเดียวกัน สารหรือวัตถุที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้เรียกว่า
ฉนวนไฟฟ้า
ฉนวนไฟฟ้า ( Insulator )
ฉนวนไฟฟ้า หมายถึง สารหรือวัตถุที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเองได้ ได้แก่ 1.น้ำบริสุทธิ์ 2. PVC 3. ยาง 4. ไมก้า 5. สุญญากาศ 6. กระเบื้องเคลือบ 7. ยาง 8. แก้ว 9. ไม้ 10. พลาสติก
ลวดตัวนำไฟฟ้า ส่วนใหญ่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เช่น สายไฟฟ้า ลวดความร้อนหรือ แผ่นความร้อนของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน เช่น เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า หรือเป็นส่วนประกอบภายในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างเช่น ไส้หลอดไฟฟ้าทุกชนิด แบลลัสต์ เป็นต้น เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อเปิดใช้งาน จะสร้างความต้านทานไฟฟ้าขึ้นทันที ดังนั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้นก็คือ ตัวต้านทานไฟฟ้า หนึ่ง ๆ นั่นเอง
ความต้านทานไฟฟ้าในลวดตัวนำไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า
จะมีค่าความต้านทานไฟฟ้ามาก หรือน้อยขึ้นอยู่ปัจจัยใดบ้าง
ปัจจัยที่มีผลต่อความต้านทานไฟฟ้าของลวดตัวนำไฟฟ้า
1) ชนิดของตัวนำไฟฟ้า
หรือชนิดของโลหะตัวนำไฟฟ้า
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้าเป็นโลหะบริสุทธิ์ จะมีความต้านทานไฟฟ้า ( R ) ต่ำ
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้าเป็นโลหะผสม จะมีความต้านทานไฟฟ้า
( R ) สูง
2) ขนาดหรือพื้นที่หน้าตัดของตัวนำไฟฟ้า ( A
)
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้ามีขนาดใหญ่
(พื้นที่หน้าตัดมาก) จะมีความต้านทานไฟฟ้า ( R ) ต่ำ
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้ามีขนาดเล็ก
(พื้นที่หน้าตัดน้อย) จะมีความต้านทานไฟฟ้า ( R)สูง
3) ความยาวของตัวนำไฟฟ้า ( L )
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้ามีความยาว
( L ) มาก จะมีความต้านทานไฟฟ้า
( R ) สูง
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้ามีความยาว
( L) น้อย จะมีความต้านทานไฟฟ้า ( R
) ต่ำ
4) อุณหภูมิของลวดตัวนำไฟฟ้า
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้ามีอุณหภูมิ ( T ) สูง จะมีความต้านทานไฟฟ้า ( R ) สูง
- ถ้าลวดตัวนำไฟฟ้ามีอุณหภูมิ
( T ) ต่ำ
จะมีความต้านทานไฟฟ้า ( R ) ต่ำ
ความต้านทานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบนตัวนำไฟฟ้า
จึงเป็นอุปสรรคในการส่งพลังงานไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับพลังงานไฟฟ้าไม่เต็มที่
เกิดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้า
ดังนั้นจะมีวิธีการใด
ที่จะทำให้ตัวนำไฟฟ้าไม่มีความต้านทานไฟฟ้าเกิดขึ้นเลย
หรือทำให้ตัวนำไฟฟ้ามีความต้านทานไฟฟ้าเป็นศูนย์ ซึ่งสามารถทำได้โดยทำให้ตัวนำไฟฟ้านั้นกลายเป็น
ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด ( Superconductor )
ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด
( Superconductor )
ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด หมายถึง
สารที่มีความต้านทานไฟฟ้าเป็นศูนย์ที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ โดยความต้านทานไฟฟ้าจะลดลง
เมื่ออุณหภูมิลดลง และถ้าลดอุณหภูมิลงถึง ประมาณ 4 - 15 K หรือ -
268.85 °C แล้ว ตัวนำไฟฟ้า เช่น ปรอท จะหมดความต้านทานไฟฟ้า
หรือมีความต้านทานไฟฟ้าเป็นศูนย์
ภาพ แท่งแม่เหล็กกำลังลอยอยู่เหนือตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด
ในปัจจุบัน
มีการนำแม่เหล็กและตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด
มาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆมากมาย เช่น ในด้านการขนส่ง อุตสาหกรรม การแพทย์ และอื่น
ๆ
ภาพ ยานพาหนะเคลื่อนที่ได้โดยไม่ใช้ล้อ หรือลอยอยู่เหนือราง
และการแพทย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น